TUF เชื่อ MWB ช่วยดันยอด H2 มองหาโอกาสขยายธุรกิจหลายภูมิภาคทั่วโลก
August 9, 2012 by admin
Filed under การเงิน การลงทุน
TUF เชื่อ MWB ช่วยดันยอด H2 มองหาโอกาสขยายธุรกิจหลายภูมิภาคทั่วโลก
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) เปิดเผยว่า แนวโน้มในครึ่งปีหลังมองว่า ขณะนี้สถานการณ์ยังคงปกติ การดำเนินธุรกิจทุกอย่างเป็นไปตามแผน ในฝั่งยุโรปบริษัท เอ็มดับบลิว แบรนด์ส ยอดขายมีการเติบโตและรักษามาร์จิ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนความกังวลจากวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท เนื่องจากธุรกิจของ TUF เป็นธุรกิจอาหาร และเป็นที่นิยมในการบริโภคทั่วไป แต่ในทางกลับกัน วิกฤตที่เกิดขึ้นจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการขยายการลงทุนเพิ่มในฝั่งยุโรป
ส่วนในฝั่งอเมริกา ตลาดมีการแข่งขันค่อนข้างสูง แต่บริษัท ไทร-ยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ ยังทำผลงานได้ดีและทำมาร์จิ้นได้ดีเช่นกัน ขณะที่บริษัท ยูเอสเพ็ท นูทรีชั่น ซึ่งดำเนินธุรกิจอาหารแมวในอเมริกา แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น แต่แนวโน้มจะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตดี
นอกจากธุรกิจในต่างประเทศแล้ว ปีนี้บริษัทมีแผนการทำตลาดเชิงรุกสำหรับตลาดในประเทศ ซึ่งล่าสุดได้ทำการรีแบรนด์ สำหรับแบรนด์ซีเล็ค และแบรนด์ฟิชโช เป็นการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ทั้งหมด จากนี้ไปจะมีการทำการสื่อสารทางการตลาดอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างการรับรู้ใหม่ในกลุ่มผู้บริโภค บริษัทยังจะนำทั้ง 2 แบรนด์นี้เข้าไปบุกตลาดอาหารกระป๋องและตลาดอาหารว่างในตลาดอาเซียน เนื่องจากวัฒนธรรมการบริโภคอาหารคล้ายคลึงกับประเทศไทย และบริษัทจะใช้โอกาสการเปิดเสรีอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นสำหรับการขยายตลาดในภูมิภาคนี้ให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันได้มีการเข้าศึกษาตลาดในประเทศพม่า เวียดนาม ลาว และกัมพูชาแล้ว
นายธีรพงศ์ ยังกล่าวต่อว่า การมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจยังมีอยู่อีกในหลายภูมิภาค ซึ่งบริษัทยังมองหาตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง อาทิ ตลาดแอฟริกา ที่มีการเติบโตค่อนข้างสูงขณะนี้ รวมถึงตลาดอเมริกาใต้ และตลาดตะวันออกกลาง ก็เป็นตลาดที่น่าสนใจเช่นกัน ขณะเดียวกันในตลาดยุโรปเองก็ยังมีโอกาสอีกมาก เนื่องจากยุโรปมีทั้งหมด 27 ประเทศ และเรายังจะขยายไปยังประเทศที่อยู่นอกเขตยุโรปอีก เช่น รัสเซีย เป็นต้น เรามองตลาดทุกภูมิภาคทั่วโลก และเรามีความพร้อมในทุกๆ ด้านที่จะเข้าไป เพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรก ปี 55 นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งหมดเท่ากับ 2,469 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,044 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 2.15 บาท
ขณะที่ยอดขายก็มีการเติบโตขึ้นเช่นเดียวกันโดยในรูปของเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 7% จากยอดขาย 1,564 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2554 เป็นยอดขาย 1,674 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2555 ส่วนในรูปของเงินบาทนั้น มียอดขายเท่ากับ 52,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายเท่ากับ 47,565 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2 นั้น บริษัทยังคงทำกำไรสุทธิได้ดีต่อเนื่องถึง 1,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,284 ล้านบาท แต่เนื่องจากไตรมาสนี้มีเหตุการณ์พิเศษทางบัญชีเกิดขึ้นจากการกู้ยืมเงินเพื่อการเข้าซื้อกิจการของเอ็มดับบลิว แบรนด์ส เมื่อ 18 เดือนที่แล้ว ซึ่งถูกบันทึกไว้ประมาณ 400 ล้านบาทตามอายุเงินกู้ แต่เมื่อบริษัทได้นำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในช่วงเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาจำนวน 9,563 ล้านบาทมาชำระเงินกู้ ซึ่งตามมาตรฐานบัญชีต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือของเงินกู้ทันที จึงต้องตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายส่วนนี้ในครั้งเดียวจากกำไรสุทธิ ทำให้กำไรสุทธิเหลือ 1,002 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากไม่มีหักค่าใช้จ่ายนี้ ต้องถือว่ากำไรสุทธิ 1,402 ล้านบาทของไตรมาส 2 ปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านๆ มานับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา ขณะที่ยอดขายรูปเงินเหรียญสหรัฐในไตรมาส 2 เท่ากับ 852 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนที่มียอดขายเท่ากับ 821 ล้านเหรียญสหรัฐ และมียอดขายในรูปของเงินบาทเท่ากับ 26,758 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8%
เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนที่มียอดขายเท่ากับ 24,860 ล้านบาท ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงไตรมาสนี้ โดยเฉพาะในเดือนพ.ค. มีความผันผวนมาก แต่ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทสามารถบริหารจัดการได้ โดยจะเห็นจากความสามารถในการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ยังอยู่ที่ระดับ 16.9% ขณะเดียวกันอัตรากำไรจากการดำเนินงานก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ 8% จึงทำให้ไม่น่าเป็นกังวลสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัท เนื่องจากทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Operation ยังดีอยู่
สัดส่วนรายได้ของบริษัทซึ่งแบ่งตามผลิตภัณฑ์หลัก 6 กลุ่มธุรกิจใน 6 เดือนแรกนี้ กลุ่มธุรกิจปลาทูน่า มีสัดส่วน 50% กลุ่มธุรกิจกุ้งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง 22% กลุ่มธุรกิจปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล 6% กลุ่มธุรกิจปลาแซลมอน 5% กลุ่มธุรกิจอาหารแมว 7% และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ 10% ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทโดยแบ่งตามตลาดมีดังนี้ สหรัฐอเมริกา มีสัดส่วน 35% สหภาพยุโรป 32% ขายในประเทศ 10% ญี่ปุ่น 9% อัฟริกา 4% โอเชียเนีย 3% ตะวันออกกลาง 3% เอเชีย 2% แคนาดา 1% และอเมริกาใต้ 1%
จากภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกทั้งหมด นายธีรพงศ์กล่าวว่า บริษัทยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจัยจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่าที่สูงขึ้น อีกทั้งความผันผวนของค่าเงินบาทที่ยังมีอยู่ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ด้วยโครงสร้างทางธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ทำให้บริษัทสามารถทำผลงานได้ดี
ที่มา – อินโฟเควสท์
Comments
Feel free to leave a comment...
and oh, if you want a pic to show with your comment, go get a gravatar!